วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของ "ครู"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ได้รับพระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสที่เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานเข็มเครื่องหมายเชิดชูเกียรติมีข้อความที่เกี่ยวกับลักษณะของครูที่ดีไว้ตอนหนึ่งว่า


"ครูที่แท้นั้น  ต้องเป็นผู้กระทำแต่ความดี  คือ

ต้องหมั่นขยันและอุตสาหะพากเพียร

ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ

ต้องหนักแน่น  อดกลั้นและอดทน

ต้องรักษาวินัย  สำรวมระวังความประพฤติของตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผนอันดีงาม

ต้องปลีกตัวปลีกใจออกจากความสบาย  และความสนุกรื่นเริงที่ไม่ควรแก่เกียรติภูมิ

ต้องตั้งใจให้มั่นคงและแน่วแน่

ต้องซื่อสัตย์รักษาความจริงใจ

ต้องเมตตาหวังดี

ต้องเมตตาหวังดี

ต้องวางใจเป็นกลาง  ไม่ปล่อยไปตามอำนาจคติ

ต้องอบรมปัญญาให้เพิ่มพูนสมบูรณ์ขึ้นทั้งในด้านวิทยาการและความรู้ในเหตุผล


ความหมายของครู

พุทธทาสภิกขุ (๒๕๒๗ : ๙๒) กล่าวว่า คำว่า "ครู" เป็นคำที่สูงมาก เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็นำให้เกิดทางวิญญาณไปสู่คุณธรรมเบื้องสูง เป็นเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ มิได้หมายถึงเรื่องวัตถุ


           อำไพ สุจริตกุล (๒๕๓๔ : ๔๗-๔๘) กล่าวว่า คำว่า "ครู" "ปู่ครู" "ตุ๊ครู" และ "ครูบา" ในสมัยโบราณ หมายถึง พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่สอนกุลบุตรทุกระดับอายุ ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยรุ่น สอนทั้งด้านอักขรวิธี ทั้งภาษาไทย และภาษาบาลี สอนให้เป็นคนดีมีวิชาชีพ ตลอดจนความรู้ทางพระพุทธศาสนา แม้เมื่อศิษย์มีอายุครบบวชแล้ว ก็ยังคงศึกษาในวัดหรือสำนักนั้น ๆ ต่อไป จนมีความรู้ความชำนาญ สามารถถ่ายทอดวิชาที่ได้รับการสั่งสอนฝึกฝนจากครูบาของตนให้แก่ศิษย์รุ่นหลังของสำนักต่อไป หรืออาจลาไปแสวงหาความรู้ความชำนาญต่อจากพระสงฆ์หรือครูบา หรือตุ๊ครู ณ สำนักอื่น เมื่อเชี่ยวชาญแล้วก็กลับมาช่วยสอนในสำนักเดิมของตน จนเป็นครูบาสืบทอดต่อไป


         



เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้ร้อยกรองบทประพันธ์เกี่ยวกับครูไว้อย่างไพเราะจับใจว่า

ใครคือครู ครูคือใครในวันนี้

ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล

ใช่อยู่ที่เรียกว่า ครูอาจารย์

ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน

                                                  ครูคือผู้นำทางความคิด

ให้รู้ถูกรู้ผิด คิดอ่านเขียน

ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร

ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน

                                                ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์

ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์

มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง

                                                 ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ยิ่งใหญ่

สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง

สร้างคนให้ได้เป็นตัวของตัวเอง

ขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู

          จากตัวอย่างความหมายของครูข้างต้น จะเห็นว่า ครูต้องเป็นคนที่มีทั้งความรู้และความประพฤติที่ดี กอปรด้วยความเมตตากรุณาต่อศิษย์ คงไม่เกินความจริงที่จะกล่าวว่า ครูเป็นบุคคล "ไตรภาคี" คือ มาจากองค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการ คือ ๑) ความรู้ดี ๒) ความประพฤติดี และ ๓) มีคุณธรรม (เมตตากรุณา) หากขาดองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งจะไม่สามารถเป็นครูที่ดีได้


           องค์ประกอบ ๓ ประการนี้ เป็นหลักความจริงที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งสำหรับผู้มีหน้าที่เป็นครู เพราะผู้ที่มีองค์ประกอบทั้งสามนี้ และพัฒนาถึงชั้นสูงสุด จะอยู่ในฐานะเป็นยอดครู หรือบรมครู เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้รับการขนานพระนามว่า "บรมครู" เพราะพระองค์ ทรงมีองค์ประกอบ ๓ ประการนี้ที่พัฒนาถึงชั้นสูงสุดแล้ว คือ ทรงมีพุทธคุณ ๓ ประการ คือ

๑. พระปัญญาคุณ (ความรู้)

๒. พระวิสุทธิคุณ (ความบริสุทธิ์, ความประพฤติดี)

๓. พระกรุณาคุณ (ความสงสาร,ทนไม่ได้ที่จะไม่ช่วยเหลือคนอื่น)



ความหมายของครู ตามรูปแบบ

 ความหมายของครูดังกล่าวข้างต้นเป็นความหมายตามเนื้อความหรือเนื้อแท้ของครู  กล่าวคือ ผู้ที่เป็นครูควรมีภาวะดังกล่าวอันได้แก่  ความรู้ ความประพฤติ และคุณธรรม ไม่ว่าครูนั้นจะอยู่   ณ ที่ใด หน่วยงานไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ยังมีความหมายของครูอีกอย่างหนึ่งที่กำหนดโดยกฎหมาย ให้เป็นรูปแบบ  แบ่งเป็นชั้นหรือระดับ  สูงต่ำแตกต่างกัน  และอาจเกิดสิ่งที่เรียกว่าเกียรติ หรือศักดิ์ศรี  แทรกซ้อนอยู่ในรูปแบบนั้นด้วย  ซึ่งบางทีอาจปิดกั้นไม่ให้มองเห็นความ หมายตามเนื้อแท้ก็ได้  ความหมายของครูโดยกฎหมายนี้อาจเรียกว่า  ความหมายของ ครูตามรูปแบบ  แต่มันเป็นความหมายไม่แน่นอนตลอดไป  อาจมีการเปลี่ยนไปได้ใน เมื่อใดกฎหมายกำหนดขึ้นมาใหม่ ก็อาจจะเปลี่ยนไปใหม่ได้ตามรูปแบบนั้น ๆ


          ความหมายของครูตามรูปแบบนั้นจะเห็นได้จากกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ กำหนดรูปแบบของครูโดยเรียกว่า  ข้าราชการครูซึ่งมี ๓ กลุ่ม  ได้แก่

๑. กลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นผู้สอนในหน่วยงานการศึกษา

๒. กลุ่มที่มีหน้าที่บริหารและให้การศึกษาในหน่วยงานทางการศึกษา

๓. กลุ่มที่มีหน้าที่เกี่ยวกับให้การศึกษาที่ไม่สังกัดโรงเรียน  วิทยาลัย     หรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นของกระทรวงศึกษาธิการ


 เฉพาะกลุ่มที่ ๑ ซึ่งทำหน้าที่สอนเป็นหลัก มีการแบ่งตำแหน่งเป็นระดับต่าง ๆ ไปจากล่างไปสูง คือ

- ครู ๑

- ครู ๒

- อาจารย์ ๑

- อาจารย์ ๒

- อาจารย์ ๓

- ผู้ช่วยศาสตราจารย์

 - รองศาสตราจารย์

- ศาสตราจารย์

บางตำแหน่งก็กำหนดให้มีได้เฉพาะในบางหน่วยงาน  คือตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วย ศาสตราจารย์ถึงศาสตราจารย์  จะมีได้เฉพาะหน่วยงานที่มีการสอนถึงระดับ ปริญญาตรี เท่านั้น

ความหมายของครูตามรูปแบบอาจมีส่วนกระทบในทางลบต่อความหมายของครูตาม เนื้อแท้ก็ได้  และคำว่า ครูอาจจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความสนใจของสังคมโดยอาจ ถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย เช่นที่เรียกว่า ครูก็เรียกว่า  อาจารย์หรือผู้ ช่วยศาสตราจารย์ หรือคำอื่น ๆ  อาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำหน้าที่สอนได้  จนที่สุดแม้แต่ เครื่องเทคโนโลยีก็อาจเป็นครูได้  เพราะสามรถทำหน้าที่สอนให้เกิดความรู้ได้ ดังนั้นองค์ประกอบแห่งความเป็นครูที่กล่าวข้างต้น คือ ความรู้  ความประพฤติและคุณธรรม  อาจเหลือเฉพาะองค์ประกอบเดียวคือ ความรู้เท่านั้นก็


ที่มาของคำว่า ครู

ที่มาของคำว่า ครู   คำว่า "ครู" มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และภาษาบาลี "ครุ, คุรุ"